top of page

 

 ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้บริษัทต่างๆ ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษในการลงทุนสำหรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้หันมาสร้างประโยชน์จากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเดิมให้มากยิ่งขึ้น และต้องมั่นใจว่าการลงทุนทุกบาททุกสตางค์ต้องมีผลตอบแทนที่ชัดเจน ซึ่งหมายความว่าทุกคนต่างมองที่ประสิทธิภาพของการพัฒนาระบบต่อการลงทุนและการเลือกที่จะปรับปรุงพัฒนาในส่วนใดของระบบที่มีอยู่เดิม
 

                ผู้บริหารหลายท่านอาจจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะเป็นคนมัธยัสถ์ได้เพียงนี้ ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันเมื่อนึกเทียบถึงปีที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างสุดๆ ผู้บริหารได้มีการใช้จ่ายเงินจำนวนมากในการขยายส่วนโครงสร้างด้านเทคโนโลยี แต่ปัจจุบันเมื่อพวกเขากลับมาตรวจสอบระบบเดิมที่มีอยู่โดยพยายามที่จะใช้จ่ายเงินให้น้อยที่สุดในการปรับปรุงระบบของพวกเขา


และแล้วยุคใหม่ที่เป็นยุคแห่งการอดออมก็ได้เข้ามาเยือนในการพัฒนาด้านไอทีขององค์กรต่างๆ ซึ่งสวนทางกับแรงผลักดันที่ต้องการการลงทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาที่จะนำสินค้าออกสู่ตลาดในภาวะเศรษฐกิจที่ต้องอดออมเช่นนี้ โดยคาดว่างบประมาณด้านไอทีของเกือบทุกองค์กรต่างจะทรงตัวหรืออาจจะแย่กว่านั้นในอีก 2-3 ไตรมาสข้างหน้านี้ โดยที่ผู้บริหารต่างก็ย่ำแย่กับสถานการณ์เศรษฐกิจเช่นนี้

 


ผลกระทบที่ตามมาสำหรับภาวะใหม่ที่ต้องประหยัดและอดออมได้สร้างแรงกดดันในการคำนวณผลตอบแทนด้านการลงทุน โดยสิ่งเหล่านี้ผู้วางแผนระบบไอทีหลายท่านสามารถหลบเลี่ยงการคำนวณที่ซับซ้อนนี้ได้ในปีที่ธุรกิจยังพอเติบโตอยู่

 


ดังจะเห็นได้ว่าในยุคเศรษฐกิจปกติผู้บริหารมิได้คาดหวังอะไรมากนักสำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนด้านเทคโนโลยี แต่ในปัจจุบันพวกเขากลับต้องการให้ระบุอย่างชัดเจนในทุกๆ ด้านของผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุนในระยะเวลา 12 เดือนหรือ 24 เดือน

 


และสิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลถึงการแข่งขันในตลาด ซึ่งแต่เดิมจะเน้นเพียงผลิตภัณฑ์และบริการเท่านั้น โดยต้องมีการเพิ่มในส่วนที่ 3 ซึ่งน่าจะมีความสำคัญมากกว่าสองส่วนแรกด้วยซ้ำ และปัจจัยนั้นก็คือระยะเวลาที่จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนนั่นเอง 

 


อันที่จริงแล้วการทำงานนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างไร แต่กลับเป็นการคำนวณและการให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาไม่มีใครให้ความสนใจมาก่อนเท่านั้นเอง

 


การที่ทุกคนหันมาให้ความสนใจกับผลตอบแทนด้านการลงทุนนี้หมายความว่า ความสำคัญของการใช้จ่ายขององค์กรได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากโครงการส่วนขยายต่างๆ ได้ถูกระงับชั่วคราว และผู้บริหารต่างก็มุ่งประเด็นไปที่การบำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่เดิมให้มากที่สุด

 


ได้มีการวิเคราะห์ว่าจากกระแสที่มุ่งเน้นผลตอบแทนจากการลงทุนและการประหยัดค่าใช้จ่ายขององค์กรต่างๆ ทำให้โครงสร้างและระบบต่างๆ ขององค์กรที่มีอยู่นั้นดูราวกับว่ายังคงใช้งานได้ดีไม่ว่าจะมีจุดบกพร่องมากน้อยเพียงไร

 


สิ่งที่พบเห็นก็คือการใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจที่ยึดแนวทางสูงสุดกลับสู่สามัญ โดยมีการศึกษาจากบริษัท 500 แห่ง พบว่าการลงทุนด้านไอทีได้ลดลงโดยเฉลี่ยประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์สำหรับปีนี้ นอกจากนี้ยังพบอีกว่าโครงการใหม่ๆ ที่จะดำเนินการในด้านธุรกิจแบบออนไลน์ รวมทั้งระบบซัพพลายเชนได้ถูกพักโครงการไปด้วยเหตุผลที่ว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นไม่ชัดเจนเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับการปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และคงไม่มีใครปฏิเสธว่าในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้แผนการดำเนินการส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริหารเป็นหลัก

 


อีกกลยุทธ์หนึ่งที่ใช้ได้ดีในภาวการณ์ของเศรษฐกิจเช่นนี้คือ การคิดค่าใช้บริการแบบราคาเดียวจะได้เปรียบกว่าการคิดค่าใช้จ่ายแบบตามจริง ดังที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นคงจะสรุปได้ว่าองค์กรต่างๆ ได้ทำทุกวิถีทางในการปกป้องการลงทุนของพวกเขาในทุกๆ ด้าน 

 


การทำสัญญาในการให้บริการดูแลรักษาอุปกรณ์และบริการด้านไอทีในปัจจุบันเกือบทั้งหมดได้ใช้กลยุทธ์ในการรวมรูปแบบการให้บริการที่หลากหลายในสัญญาเดียว โดยบริษัทต่างๆ ต้องศึกษาและเลือกรูปแบบการบริการที่ลงตัวสำหรับองค์กรของตน รวมถึงระดับการให้บริการ (Service level agreement) ที่เหมาะสม ตลอดจนการศึกษาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่เดิมจะทำให้บริษัทสามารถอยู่รอดได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน

 


กลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ผู้บริหารต้องมีความกล้าในการตัดสินใจเพื่อที่จะสร้างโอกาสและนำบริษัทก้าวสู่แนวหน้าของธุรกิจ ดังตัวอย่างเช่น องค์กรหนึ่งในอเมริกาได้ประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับการทำวอยส์โอเวอร์ไอพี ซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินสายโทรศัพท์แยกจากระบบเครือข่ายไอพีได้ถึง 30,000 เหรียญสหรัฐฯ 

 


อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเพียงจำนวนเงินเล็กน้อยที่เราสามารถประหยัดได้ในการเริ่มต้น ซึ่งที่จริงแล้วเทคโนโลยีนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมหาศาลในอนาคต กล่าวคือ ทุกครั้งที่มีการโทรศัพท์ผ่านวอยส์โอเวอร์ไอพี นั่นคือเราได้ประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับบริษัท ซึ่งเป็นการเพิ่มผลผลิตรายได้ให้กับองค์กรโดยที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเลย

 


บริษัทหรือองค์กรควรที่จะหันมาวิเคราะห์ถึงการใช้งานของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของตน โดยหาปัจจัยหรือวิธีการในการวัดผลของการใช้งานในด้านต่างๆ แทนที่จะมองเพียงแค่การขยายขนาดหรือการที่จะปรับเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีด้านโอเพนซอร์ส ซึ่งแท้ที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ซ่อนอยู่คือ บุคลากรที่มีความชำนาญในเทคโนโลยีใหม่ต่างๆ  

 


ดังนั้นในภาวะที่โครงการใหญ่ต่างก็ถูกพักไว้นั้นจึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับการเตรียมความพร้อมของพนักงานให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยแท้จริง แล้วการพัฒนาความสามารถของพนักงานนับเป็นสิ่งที่มีผลตอบแทนต่อการลงทุนสูงที่สุดอย่างหนึ่งไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร หรือว่ารัฐบาลจะอยู่นานแค่ไหนก็ตาม

 

ข้อมูลโดย http://www.ecommerce-magazine.com

bottom of page